• ยน 16:12-15 •
12“เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ 13เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมา และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น 14พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงได้รับจากเรา 15ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วย ดังนั้น เราจึงบอกว่า พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา”
พระเยซูเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงมีทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมี และทรงมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกเราโดยผ่านทางพระจิตเจ้า
พระองค์กำลังกล่าวถึงพระองค์เอง รวมถึงพระบิดา และพระจิต ด้วย
ทั้งสามพระบุคคลคือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต แม้จะต่างกันแต่ก็เป็นพระเจ้าแท้และหนึ่งเดียว ซึ่งพระศาสนจักรเรียกรวมกันว่า “พระตรีเอกภาพ”
ในบท “ข้าพเจ้าเชื่อ” เราจึงยืนยันพร้อมกันว่า
น่าสังเกตว่าพระศาสนจักรกล่าวถึงการกำเนิดของพระบุตรไว้ว่า “ทรงบังเกิดจากพระบิดา” ส่วนพระจิต “ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร”
นักบุญโธมัส อะไควนัส (1225-1274) นักปราชญ์ของพระศาสนจักรได้อธิบายความแตกต่างระหว่าง “บังเกิดจาก” และ “เนื่องจาก” ไว้ดังนี้
ธรรมชาติของ “จิต” คือ มี สติปัญญา (Intellect) และ อำเภอใจ (Free Will)
พระเจ้าทรงเป็นจิตล้วน จึงทรงมีสติปัญญาสำหรับ “คิด” และอำเภอใจสำหรับ “รัก”
– สิ่งที่พระเจ้าทรงคิดถึงตั้งแต่นิรันดรคือ “ตัวพระองค์เอง” เพราะไม่มีสิ่งอื่นใดให้ทรงคิดถึง
– ความคิด “ก่อให้เกิด” ตัวแทนของสิ่งที่ทรงคิด (ตัวอย่างเช่น เวลาเราคิดถึง “วัด” เรากำลังก่อให้เกิด “ตัวแทน” ของวัด หรือ “มโนภาพ” ของวัดขึ้นในความคิดของเรา ซึ่งอาจเป็นวัดของเราเองหรือเป็นวัดที่เราเคยไปจาริกแสวงบุญมาแล้วก็ได้)
– เนื่องจากพระเจ้าทรงปราศจากขอบเขต ความคิดของพระองค์จึงไม่มีขอบเขต นั่นคือทรงคิดครั้งเดียวก็ครบครันและครอบคลุมทุกสิ่งแล้ว ดังนั้น “ตัวแทน” ของสิ่งที่ “เกิด” จากความคิดของพระองค์จึงมีเพียงหนึ่งเดียวและไม่มีขอบเขตด้วย พระคัมภีร์เรียก “ตัวแทน” ที่เกิดจากความคิดนี้ว่า “พระวจนาตถ์” (ยน 1:1; 1 ยน 1:1), “พระปรีชาญาณ” (1 คร 1:30) ฯลฯ
– เพราะความคิดของพระเจ้า “ก่อให้เกิด” ตัวแทนความคิดที่เรียกว่า “พระวจนาตถ์” ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับพระวจนาตถ์จึงเป็นแบบ “พ่อ-ลูก” หรือ “พระบิดา และ พระบุตร”
จากภาษาเชิงเปรียบเทียบดังกล่าว จึงนำมาสู่การยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า เป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง เป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ มิได้ถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา….”
นอกจากทรงมีสติปัญญาสำหรับคิดแล้ว พระเจ้ายังทรงมีอำเภอใจสำหรับ “รัก” อีกด้วย
– ตั้งแต่นิรันดร พระบิดาทรงรักพระบุตรอย่างไม่มีขอบเขต
– เมื่อเราคิดถึงคนที่เรารัก มโนภาพของคนที่เรารักย่อมเกิดขึ้นในความคิดของเราดังได้กล่าวมาแล้ว แต่ความรักไม่ได้ก่อให้เกิดมโนภาพเช่นเดียวกับความคิด เพียงแต่โน้มน้าวตัวเราและคนที่เรารักให้มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน
– ฉันใดก็ฉันนั้น ความรักของพระบิดาก็ไม่ได้ก่อให้เกิดมโนภาพของพระบุตรผู้ทรงเป็นที่รัก เพียงแต่โน้มน้าวให้ทั้งพระบิดาและพระบุตรมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน
– ความรักอันไม่มีขอบเขตจึงไม่ได้เกิดจากพระบิดา แต่ “เนื่อง” มาจากพระบิดาและพระบุตรทรงรักกัน
– ความรักอันเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตรนี้ เป็นผลงานของ “อำเภอใจ” หรือ “จิตใจ” ของพระเจ้า จึงได้รับพระนามว่า “พระจิต”
เราจึงยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิต พระเจ้าผู้ทรงบันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร ทรงรับการถวายสักการะและพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระบุตร”
นี่คือความเชื่อของเราคริสตชน !
นั่นคือ “พระเจ้าเดียวทรงเป็นสามพระบุคคล” หรือที่เราเรียกว่า “พระตรีเอกภาพ” ซึ่งเราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้
“พระตรีเอกภาพ” ทำให้เราตระหนักชัดว่า “พระเจ้าคือผู้ทรงชีวิต” เพราะทรงมีกิจกรรมอันเนื่องมาจาก “สติปัญญา” และ “อำเภอใจ” อยู่เสมอ
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่ง “ปรีชาญาณ” และ “ความรัก” !!!
นี่เป็นความเชื่อที่ทรงคุณค่าและมีความหมายต่อเราอย่างยิ่ง !!
เพราะพระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกล และไม่เกี่ยวข้องกับเรามนุษย์
ตรงกันข้าม พระองค์ทรงรักและหยิบยื่นความสัมพันธ์ซึ่งผูกพันทั้งสามพระบุคคลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แก่เรามนุษย์ทุกคนด้วย
ขึ้นอยู่กับว่า วันนี้ เราจะวางใจใน “พระปรีชาญาณ” ของพระเจ้า และตอบรับ “ความรัก” ของพระองค์หรือไม่เท่านั้น ?!?
อนึ่ง พระวรสารวันนี้ยังแสดงให้เห็นว่า “ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า” ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาสู่มนุษย์โดยอาศัยกระบวนการที่เรียกกันว่า “การไขแสดง” นั้น มีหลักการดังนี้
โอกาสสมโภชความเป็น “หนึ่งเดียว” กันของพระบิดา พระบุตร และพระจิต น่าจะกระตุ้นเตือนให้เราเป็น “หนึ่งเดียว” กับพระเยซูเจ้ามากขึ้น
เพื่อเราจะได้รับการไขแสดง “ความจริง” มากขึ้น
“ความจริง” ซึ่งจะทำให้เราเป็นอิสระ (ยน 8:32) !
แบ่งปันหน้านี้ให้เพื่อนอ่านด้วยสิ คลิก!
กรุณาแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ
งดตอบคำถามที่นี่ หากต้องการสอบถามกรุณาเข้าไปที่ Facebook Messenger ไอคอนสีฟ้า (ด้านขวา/ล่าง)
วัดเซนต์จอห์น 1110/9 ลาดพร้าว ซอย 2 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
Copyright © 2019 Saint John Church. All Rights Reserved.